โค้ชแม่ต่าย - Family coach เพื่อนคู่คิดของคุณพ่อคุณแม่ ที่ใช้การโค้ชและเครื่องมือพัฒนาองค์กรมาปรับใช้ในการพัฒนาลูกค่ะ ได้พูดคุยกับ Dr.Gift (ประภาภรณ์ โรจน์ศิริรัตน์) ผู้ที่เคยได้รับทุน Fulbright ค่ะ
.
ต่ายเองในฐานะที่ทำงานด้านการพัฒนาบุคคลากรในองค์กรและเป็นผู้คิดหลักเกณฑ์ในการให้ทุนก๋้อยากจะมาแชร์ว่าผู้ให้ทุนมองหาอะไรค่ะ
.
ปัจจุบันมีทุนเยอะมากค่ะ ให้ติดตามเพจด้านทุนฯได้ค่ะ แต่ ปัจจุบันหลักการให้ทุนเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว
สถาบันการเงินลดการให้ทุนด้านกิจการหลัก เช่น การเงิน, ธุรกิจลง แต่เน้นเรื่อง Tech มากขึ้นซึ่งเป็นเทรนด์ที่เติบโตชัดเจน
.
คุณสมบัติของผู้รับทุน (พื้นฐานของทุนส่วนมากค่ะ)
เกรดเริ่มต้นที่ 3.25
สอบข้อเขียนอาจจะมีหรือไม่มี แต่ สัมภาษณ์ สำคัญมากและมีแน่ๆค่ะ
เน้นเรื่อง ทัศนคติ ค่ะ เพราะทุนไทยส่วนมากต้องกลับมาใช้ทุน เลยต้องเช็คว่าเข้ากันมั๊ยก่อนเลยค่ะ
จะมีมหาวิทยาลัยตอบรับก่อนหรือหลังก็ได้ แต่ถ้ามีคนให้ทุนแล้วก็อาจจะช่วยให้สมัครมหาวิทยาลัยได้ง่ายกว่า
.
Top 10 World Rank University
ยุคนี้จะเน้นไปเฉพาะสายเลย ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยที่คุ้นชื่อเท่านั้นค่ะ
มหาวิทยาลัยใน Asia ก็กำลังมาแรง ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และ สิงคโปร์
.
ทุนภายในองค์กร
นอกจากทุนการศึกษาแล้ว หลายองค์กร อาจจะมีเงินเดือนให้ด้วยนะคะ
ใช้ทุนส่วนมากจะคุณ 2 ของเวลาที่ไปเรียนค่ะ
.
หลายๆทุนก็ฟรีเลยนะคะ ไม่มีข้อผูกมัด เช่น Fulbright และ Chevening และคุณแม่ Dr.กิฟท์ Fulbrighter ก็จะมาแชร์ประสบการณ์ คว้าทุน Fulbright ให้เราค่ะ
.
เส้นทางของ ดร.กิฟท์ เป็นแบบนี้ค่ะ
ดร.กิฟท์ เรียนป.โทที่อเมริกามาแล้ว 2 ใบ และเป็นอ.อยู่ที่มศว.ประสานมิตร และมีรุ่นพี่อ.ที่จบมาจาก Havard แนะนำให้ลองไปสมัคร
ดร.กิฟท์ สมัครทุน Junior Research - เป็นทุนสำหรับคนที่เรียนป.เอกอยู่ในไทย ซึ่งหลักสูตรอินเตอร์จะเข้าเกณฑ์นี้
SOP - Statement of Purpose*** เป้าหมายการศึกษาของคุณคืออะไร จบแล้วคุณจะทำอะไรบ้าง สำคัญมาก
LoR - Letter of Recommendation จดหมายแนะนำว่าคุณเป็นใครและใครเขียนให้คุณ
.
ประเภทของทุน Fulbright
ทุน TGS (Thailand Gruduate Scholarship) - เดิมเรียกว่า OC ปกติจะให้เตรียมตัวข้ามปี เช่น เปิดเทอมเรียนสิงหาปี 2022 ต้องสมัครตั้งแต่ ต้นปี 2021
ทุนจะถูกสกรีนโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชา เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่เราไม่คุ้นชื่อ แต่ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเช่น กฏหมายลิขสิทธ์ ก็จะเข้มข้นไปอีก
กระบวนการในการสมัครทุน และ สมัครมหาวิทยาลัย เป็นคนละแบบกัน ซึ่งผู้รับทุนต้องจัดการเอง
โดยมูลค่าทุน รวมประมาณ USD35,000 (ล้านนิดๆ), ประกันสุขภาพ, ตั๋วเครื่องบิน
.
จบแล้วทำงานต่อได้ไหม? - ทำต่อได้ด้วย Visa J1 แล้วแต่คนที่รับไปทำงาน
Fulbright ไม่ต้องใช้ทุน? - แต่ว่าต้องกลับมาทำงานที่เมืองไทยต่อ 2 ปี, ห้ามไปเรียน/ทำงานที่ประเทศอื่น
ทุนมีหลายประเภทจริงๆ - รวมๆแล้วมี 7 ทุน/ปี แม้ทั้งระยะสั้น/ยาว, กำลังจะเข้าป.ตรีก็มี
เกรด 3.00 ขึ้นไป, TOEFL 80+ / IELTS 6.5+ (แต่มาสมัครกันก็มี 100+/120 ทั้งนั้น)
ผู้สมัครทุน ต้องอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
Resume* ขอเน้นๆ 1 หน้า A4 ได้จะดีมาก แต่ถ้าของเยอะจริงๆ ไม่เกิน 4 หน้า
ทำ Checklist เอกสารให้ครบ
ระวัง DEADLINE** แต่ละทุนไม่เท่ากัน ดูดีๆนะคะ
สมัครทุนให้ได้ก่อน - จากนั้นจะสมัครมหาวิทยาลัยไหนก็ง่ายแล้ว และ ให้ไปให้สุด สมัครไปให้หมด!** อย่าไปกลัว ถ้าสมัครก็ยังมีโอกาส แต่ ถ้าไม่สมัคร ก็ไม่มีโอกาสเลย
ทุกคน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็กลัวการผิดหวัง แต่ ถ้าเราไม่เอาตัวเองไปอยู่บนเส้นทางนี้เลย ก็จบ
จดหมายแนะนำตัว*** - ว่าผผู้สมัครทุนมีศักยภาพมากพอสำหรับทุนหรือไม่ คนที่เขียนเป็นใคร เขารู้จักเราดีแค่ไหน
SOP*** ที่ดี - ต้องเป็นความจริง เพราะเวลาสัมภาษณ์มันจะฟ้อง และ ควรเขียนเองเพราะตกผลึกด้วยตัวเองและฝึกภาษา อาจจะต้องเขียนหลายต่อหลายรอบก็ต้องทำเพราะสำคัญมาก
ทั้งวัดทักษะการเขียน, ภาษา, การเล่าเรื่อง**, เราทำอะไรอยู่ สิ่งที่เราจะเรียนสนับสนุนเราอย่างไร เป้าหมายของเราคืออะไร กลับมาแล้วจะช่วยเหลือสังคมอย่างไร
อย่าเขียนเรื่องไม่จริง!
อย่าอวดตัว
ต้องมี Impact แต่ WOW และเชื่อมโยงทั้ง 4 ประการ
SOP ไม่ควรเกิน 400 คำ
.
ในช่วงตรวจเอกสาร ภาพสำเร็จของเรา จะเป็นตัวที่ทำให้โดดเด่น
อย่ารู้แต่เรื่องตัวเอง รู้เรื่องอเมริกาด้วย
แต่งตัวไปสัมภาษณ์ให้ดู Professional สร้าง first impression ที่ดีให้ได้
*คนๆนี้ Represent ผู้ให้ทุน, ประเทศของคุณได้
.
วิธีการขอทุน นำไปใช้ได้กับทุกทุน
อ่านก่อน
ทุนต้องการอะไร
ทำสิ่งเหล่านั้นให้ครบ
เตรียมตัว เตรียมใจ
.
Mindset ของพ่อแม่ - ต้องเน้นที่การ ฟัง และ เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ อย่าเน้นเรื่อง howto เยอะ
เพราะถ้า Mindset เต็มไปด้วยความกลัว ไม่มั่นใจ มันจบเลย
เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ พัฒนาได้ ด้วย Growth Mindset (อยากรู้เรื่องนี้ ถามโค้ชต่ายได้ค่ะ)
.
Trend เรียนต่อของน.ศ.ปัจจุบัน
*ฮิตสุดๆคือ เกาหลี! แต่ไม่ว่าจะทุนอะไรก็ต้องละเอียด เตรียมตัวให้ดี และวางแผนไปด้วยกันกับลูก
จีน, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น ก็ดีทั้งนั้น
การไปเรียนตปท. จะทำให้เราแกร่งขึ้น ต้องเผชิญอะไรต่างๆมากมาย
การเตรียมลูกไปให้ถึงตรงนี้ ทั้ง EF, Growth Mindset, การดูแลตัวเอง, การเอาตัวรอด สำคัญกว่า How-to ที่จะได้ทุนที่ใช้เวลา ปี เดียว
ไปเห็นโลก ไปเห็นชีวิตของพลเมืองชั้นสอง ไปเห็นสิ่งที่ดีๆ และ สิ่งที่ไม่ดีและพัฒนาชีวิตต่อไป
.
“เลี้ยงลูกให้เขาแข็งแรง และ ให้เขาบินจากเราไป อย่างวางใจ”
มาวางแผนกันยาวๆเพื่อลูกของเรากันค่ะ
Commentaires