.
การเรียนร้องเพลง เป็นการเรียนดนตรีโดยไม่ใช้เครื่องดนตรี (non-instrumentalist) มองดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ สามารถเล่นดนตรีได้ด้วยตัวเองแต่ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะคะ
.
สำหรับการเรียนร้องเพลงที่มองแล้วว่าลูกเราน่าจะซีเรียส จะร้องเพลงเป็นอาชีพ ควรจะพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ค่ะ
.
การเลือกครูสอนดนตรี ควรเลือกครูที่ทราบ anatomy ที่เกี่ยวกับการ้องเพลง เช่น กล่องเสียง เส้นเสียง อวัยวะเหล่านี้จะพัฒนาสูงสุดเมื่อเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาว (puberty) ซึ่งถ้าหากอวัยวะเหล่านี้ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ เทคนิคการร้องเพลงบางอย่าง เช่น บางเทคนิคการร้องเพลงแบบ classical อาจจะทำให้อวัยวะเหล่านี้บาดเจ็บถาวรได้
.
การเรียนร้องเพลงในเด็กก่อนวัยรุ่น จึงแนะนำให้เป็น การเรียนร้องเพลงป๊อบ การเรียนเพื่อให้รู้จักดนตรี/ ทฤษฎีคนตรี หรือการร้องเพลงในวง Chorus และเมื่อเด็กโตแล้วจึงสามารถเลือกเรียน private lesson และเรียนการร้องเพลงแบบ classical
.
อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยในการร้องเพลง คือ การเรียนเครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องเป่า ซึ่งจะช่วยฝึกการหายใจ และช่วยพัฒนา capacity ของปอดค่ะ อีกเครื่องดนตรีที่น่าสนใจสำหรับคนที่จะเรียนร้องเพลง คือ เปียโน เนื่องจากเปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่มี range ของเสียงกว้างที่สุด และนักร้องยังสามารถลองเล่นเพลงใหม่เพื่อให้ได้ยินทำนองเพลงที่ร้องก่อนที่จะร้องจริง ซึ่งดีกว่าการฟังเพลงนี้ที่ร้องโดยคนอื่น เพราะอาจจะได้รับอิทธิพลจาการร้องเพลงของคนอื่น
.
ในทางกลับกันสำหรับนักดนตรีที่เล่นเครื่องดนตรี การเรียนร้องเพลงก็ช่วยส่งเสริมด้านการฟัง ทำให้ทักษะการฟังดีขึ้นค่ะ ถ้าเราฟังออกว่าตัวเองร้องเพลงเพี้ยน เราก็จะฟังออกเวลาเราเล่นดนตรีเพี้ยนค่ะ
.
นอกเหนือจากนี้อีกสิ่งที่ควรหมั่นสังเกต คือ อาการบาดเจ็บ ถ้าหากมีอาการเจ็บคอ เสียงแหบ หรืออาการอื่น ๆ เด็ก ๆ ไม่ควรฝืนร้องเพลงเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรง เหมือนอย่างที่เราเห็นในข่าวมีนักร้องหลายคนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด เพราะใช้อวัยวะในการร้องเพลงมากเกินไป
.
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกเริ่มจะซีเรียสกับการร้องเพลง หรือจะร้องเพลงเป็นอาชีพ ลองพิจารณาบทความนี้ดูนะคะ
.
Reference:
หนังสือ The Music Parents’ Survival Guide by Amy Nathan
Comments