top of page
  • เพจของโค้ชแม่ต่ายค่ะ
  • 9e582e788b549c8bc310958d8222048f_icon



ตอนที่ต่ายทำงาน HR ใหม่ ๆ การพัฒนาคนในองค์กรจะเน้นถือการหาจุดอ่อนแล้วพัฒนาจุดอ่อน

.

ต่อมา trend การพัฒนาจะเน้นการพัฒนาจุดแข็งมากกว่าการปิดจุดอ่อน เพราะการพัฒนาจุดแข็งนั้นทำได้ง่ายกว่า สามารถเพิ่มทักษะเหล่านั้นได้มากกว่าและเร็วกว่าการพัฒนาจุดอ่อน และเราไม่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่เรา

.

สำหรับต่ายการที่เราได้รู้จุดแข็งของตัวเรา คนในครอบครัวของเรา และคนรอบตัว ช่วยสร้างความสัมพันธ์ค่ะ

.

การที่เรารู้จุดแข็งและจุดอ่อน ทำให้เราตระหนักว่าเราทุกคนล้วนแตกต่างกันค่ะ ทำให้เราลดความคาดหวังจากคนรอบข้างว่าเค้าจะทำอย่างที่เราอยากได้ และทำให้เราเข้าใจเค้าและยอมรับเค้ามากขึ้นค่ะ

.

ลูกต่ายมี competition เป็นหนึ่งในจุดแข็ง ช่วยให้ต่ายเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเล่น board game กันในบ้านแล้วเค้าแพ้ เค้าร้องไห้เลยนะคะ สำหรับเค้าการแข่งให้ชนะคือ big deal มาก เมื่อรู้ดังนี้หากต้องการจูงใจเค้าต่ายจะใช้ gamification โดยเน้นให้เค้าแข่งกับตัวเองมากกว่าแข่งกับคนอื่นค่ะ

.

มีอีกตัวอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ครอบครัวหนึ่งมาเข้า session strength coaching กับต่าย เมื่ออ่านผลออกมา คุณพ่อมี strategic ซึ่งทำให้เป็นคนคิดเร็ว คุณแม่มี deliberative ซึ่งเป็นคนละเอียดรอบคอบ สามารถปิดความเสี่ยงได้ ทำให้คิดช้า

.

เมื่อทั้งสองคนรู้แล้วถึงความแตกต่างทำให้คุณพ่อเข้าใจคุณแม่ว่าทำไมคิดช้า และคุณแม่ก็เข้าใจคุณพ่อว่าทำไมชอบมาเร่งให้คิดเร็ว ๆ

.

นอกจากนี้ทั้งสองคนยังตกลงกันด้วยว่า ถ้าการตัดสินใจที่ต้องการความเร็วจะให้คุณพ่อเป็นหลักในการตัดสินใน ถ้าเป็นการตัดสินใจที่ต้องระเอียดรอบคอบจะให้คุณแม่เป็นหลักในการตัดสินใจ

.

สำหรับต่ายการรู้จุดแข็งและจุดอ่อน ช่วยให้ต่ายตระหนักว่าทุกคนแตกต่างกัน และเราก็จะลดความคาดหวัง ทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นค่ะ




ใครที่มีพี่น้องเคยมีคำถามนี้อยู่ในใจไหมคะ ต่ายถามเพราะอยากรู้จริง ๆ ค่ะ เพราะต่ายเป็นลูกคนเดียว

.

ต่ายมีลูก 2 คน ซึ่งถ้าถามว่ารักเท่ากันไหม ตอบยากนะคะ เพราะความน่ารักความหงุดหงิดของแต่ละคนก็เป็นแต่ละมุม ที่มันคงจับมาใส่ตะกร้าแล้วชั่งน้ำหนัก แล้วตอบว่าของใครมากกว่าของใครได้ยากจริง ๆ ค่ะ เราอาจจะมีสิ่งที่อยากทำร่วมกับคนหนึ่งมากกว่าอีกคน อันนี้บอกได้ค่ะ

.

คำถามเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกมากกว่า 1 คน คุณพ่อคุณแม่สามารถตอบได้เลยไหมคะ แล้วถ้าลูกเราถามเราด้วยคำถามนี้เราจะตอบว่าอย่างไรคะ

.

ถ้าเราตอบว่ารักเท่ากันแน่นอน แต่ความจริงหรือลูกอาจจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ลูกจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราเองในฐานะที่เคยเป็นลูกที่มีพี่น้องรู้สึกอย่างไรกับคำถามนี้คะ

.

ลูกต่ายเดินมาบอกกับต่ายเลยว่าเค้ารู้สึกว่าได้รับความรักไม่เท่ากัน ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่จะ response อย่างไรคะ

.

เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์มาก ๆ ที่เราจะเปรียบเทียบ เราเองก็เปรียบเทียบว่าลูกคนไหนน่ารักกว่ากัน (ในแง่มุมหรือกิจกรรมต่าง ๆ) ลูกเองก็เปรียบเทียบว่าพ่อแม่รักใครมากกว่ากัน

.

Bottom line สำหรับต่ายคือ อยากให้ลูกรู้ว่าแม่รักแน่นอน no matter what แบบ unconventional love ส่วนลูกจะเปรียบเทียบกับพี่น้องอย่างไรอันนั้นแม่ห้ามความคิดลูกไม่ได้

.

แม่ยินดีและขอบใจที่ลูกมาเล่าความรู้สึกให้ฟังว่าเค้ารู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน แม่ take มัน as a feedback ให้แม่รู้ว่าการกระทำของแม่มันทำให้ลูกรู้สึกอย่างไร อะไรที่แม่ปรับได้ หรือถ้าลูกจะยินดีปรับเจ้าหาแม่ด้วย เราก็มาคุยกันค่ะ




ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมากัลยาณมิตรหลายคนไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิกันมา ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ต่ายได้คุยกับหลาย ๆ คน ทำให้ตระหนักได้ว่า ต่ายเองก็ฝึกสมาธิผ่านการซ้อมดนตรี

.

หลังจากที่กลับมาเรียนเปียโนก็ต้องซ้อมเปียโนอย่างจริงจัง แล้วก็ค่อย ๆ สังเกตตัวเองว่า ถ้าตอนที่ซ้อมอยู่มีความคิดเรื่องอื่นวน ๆ อยู่ในหัว ต่ายมักจะเล่นผิด แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงเปียโนที่ตัวเองเล่น ถ้าช่วงไหนที่หัวว่าง ๆ ไม่ได้คิดอะไรเยอะ ไม่ได้มีเสียงในหัว จะเล่นถูก

.

มันคืนการจดจ่ออยู่กับ moment ตรงหน้า ถ้าเรา be presence ต่ายจะมี indicator ที่ชัดเจนเจนคือเล่นไม่ผิด และได้ยินเสียงที่ตัวเองเล่น และจะสามารถเลือกฟังเสียงที่อยากฟังได้ เช่น การซ้อมเพลงที่มือซ้ายเป็น melody ต่ายอยากจะได้ยินเสียงมือซ้ายก็จะฟังได้อย่างชัดเจน

.

สำหรับการเลือกฟังเสียงสำคัญมากสำหรับต่าย ตั้งแต่ตอนที่เล่น accom ให้ลูกเล่นไวโอลินแล้ว ตอนซ้อมเปียโนคนเดียวเล่นได้แล้ว พอมาเล่น accom พร้อมลูกเล่นไวโอลินครั้งแรก ๆ นี่ เปียโนพังนะคะ เพราะต่ายไม่รู้จะเลือกฟังเสียงเปียโนหรือไวโอลินดี จะฟังทั้งสองเสียงก็งง เมื่อจดจ่อมีสมาธิจะฟังได้เล่นไม่ผิดค่ะ

.

ต่ายคุยกับเพื่อนที่นั่งสมาธิ วิธีการทำสมาธิอาจจะมีได้หลายวิธีตามแต่จริตของแต่ละคน สำหรับต่ายการซ้อมดนตรีก็เป็นวิธีฝึกสมาธิตามจริตของต่ายค่ะ

bottom of page