top of page
  • เพจของโค้ชแม่ต่ายค่ะ
  • 9e582e788b549c8bc310958d8222048f_icon
Writer's picture: CoachTai MusicparentCoachTai Musicparent

การให้ feedback เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราพัฒนาค่ะ ในองค์กรที่มี psychological safety เราจะสามารถให้ feedback กันได้อย่างสบายใจ ทั้ง positive feedback เพื่อชื่นชมให้กำลังใจและเพื่อให้เค้ารู้ว่าควรทำต่อไป ในขณะที่ constructive feedback เราให้เค้าเพื่อให้เค้าพัฒนาให้ดี ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

อย่าลืมว่าการให้ feedback เป็นการให้ของขวัญ ผู้ที่ให้ feedback ต้องมีความปรารถนาดีกับผู้รับจึงใช้ effort และความกล้า (ในกรณี feedback เพื่อการพัฒนา)


แล้วเราได้ให้ feedback ลูกและคนในครอบครัวกันบ้างไหมคะ?


อยากชวนให้ชมลูก ในสิ่งที่เค้าทำได้ดีจริง ๆ เพื่อให้เค้าทำสิ่งนั้นต่อไป และเหนือยิ่งสิ่งอื่นใดให้เค้าใจฟูและเค้าก็จะรับรู้ว่าเราใส่ใจเค้า ชมเค้าที่พฤติกรรมที่เค้าทำ และ impact ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

สำหรับการให้ constructive feedback กับลูก ข้อควรระวังคือ เราควรคุยกับลูกแบบส่วนตัว ไม่ควรมีคนอื่นอยู่ด้วย ต่ายเห็นว่าการทานข้าวพร้อมกันสำหรับหลายครอบครัวเป็นช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกัน แต่สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือการดุลูกบนโต๊ะอาหารที่มีสมาชิกคนอื่นด้วย


เราทุกคนมี dignity ค่ะ ถ้าชมใครให้ชมดัง ๆ ชมให้คนอื่นได้ยินด้วย อันนี้ช่วยสร้าง self-proud แต่ถ้าเราดุลูกต่อหน้าคนอื่น อันนี้เค้าจะเสีย self นะคะ เราเองก็คงไม่อยากถูกตำหนิต่อหน้าคนอื่นเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเค้าหวังดีอยากให้เราได้พัฒนา


ตอนที่ต่ายทำงานอยู่ iNGO ซึ่งงานส่วนหนึ่งคือการไปช่วยผู้ประสบภัย น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ไต้ฝุ่น สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก่อนไปคือทั้ง human right และ humanitarian สิ่งที่จำได้เลยคือ ทุกคนมี dignity เวลาที่หัวหน้าครอบครัวก็เป็นผู้ประสบภัยเสียเอง เราต้องระมัดระวังในการปฏิบัติตัวกับเค้า เค้าเคยเป็นคนหารายได้เข้าครอบครัว ดูแลปกป้องทุกคนในครอบครัว แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ต้องรอคอยความช่วยเหลือจากคนอื่น


หรือสำหรับผู้สูงอายุที่เคยทำงานดูแลครอบครัว เมื่อชราลงก็อาจจะดูแลตัวเองได้น้อยลง บางสิ่งที่เราเห็นว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เค้าก็ภูมิใจที่ได้ทำ เช่น ช่วยครอบครัวทำงานบ้าน ต่ายว่าบางครั้งคนอื่น อาจจะไม่เข้าในเวลาเห็นผู้สูงอายุมากวาดหน้าบ้าน อาจจะมองว่าทำไมใช้งานผู้สูงอายุ จริง ๆ แล้วสิ่งนี้ทำให้ท่านเหล่านั้นภูมิใจว่าได้ช่วยงาน ได้ออกกำลัง และการทำงานบ้านยังช่วยชะลอการเสื่อมของสมองด้วย




เราทุกคนล้วนเกิดมาเป็นปัจเจก มนุษย์เริ่มจากเกิดมาต้องพึ่งพิงผู้อื่น (dependent) สัตว์หลายชนิด เกิดมาก็สามารถอาศัยได้ด้วยตัวเอง ไม่มีพ่อแม่มาดูแล แต่คนเราถ้าไม่มีใครดูแลตอนเด็ก เราก็อยู่ไม่ได้

.

เมื่อเราเติบโตเริ่มเข้าสังคม เราบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราเริ่มพึ่งพาผู้อื่น (interdependent) และในท้ายที่สุด เราก็ต้องสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง (independent)

.

อยากชวนให้ลองทบทวนว่าเรามีความสัมพันธ์ในลักษณะพึ่งพิงกับใครบ้าง มีใครที่เราไว้ใจมากในบางเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องนี้ให้คนนี้ทำไปเลย หรือเราพึ่งพิงทางภาวะอารมณ์ มีใครที่เราอยู่ด้วยแล้วเราสบายใจมาก สามารถอยู่ในภาวะทิ้งตัวได้เลย

.

ที่ชวนให้คิดเพราะว่าภาวะแบบนี้ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่ได้เป็น healthy relationship นะคะ ลองนึกภาพว่าเราจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีคนนั้นอยู่แล้ว เราจะอยู่อย่างไร เราคงเคยเห็นข่าวคนที่ตรอมใจตายหลังจากที่คนรักเสียชีวิตไม่นาน

.

ต่ายค้นพบความสัมพันธ์แบบนี้ระหว่างแม่กับต่ายตอนที่ต่ายเรียนเรื่อง exploring my inner world ของ prh ภาวะนี้เรียกว่า fusion

.

ต่ายกับแม่มีความผูกพันกับมาก แม้ว่าต่ายกับแม่จะไม่สามารถสื่อสารกันได้แล้วเนื่องจากแม่เป็นอัลไซเมอร์ถึงระยะที่พูดคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ต่ายก็รู้สึกได้ถึงความรักของแม่ที่อยู่ในตัวต่าย

.

แม้กระทั่งความทรงจำต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ของต่ายก็อยู่กับแม่ แม่ชอบเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นให้ต่ายฟัง ต่ายไม่ค่อยจำเรื่องเหล่านี้ เพราะคิดว่าอยากรู้เมื่อไรก็มาถามแม่ได้ แต่พอแม่เป็นแบบนี้ ความทรงจำหลาย ๆ อย่างของต่ายก็หายไปพร้อมกับแม่

.

เมื่อแม่ไม่สามารถสื่อสารได้ อาการของโรคค่อย ๆ ทรุดลง สำหรับต่ายเหมือนแม่คนเดิมที่ต่ายรู้จักค่อย ๆ หายไป inner world ของต่ายค่อย ๆ broken แบบที่ต่ายเองก็ไม่รู้ตัว

.

ภาวะแบบนี้ถ้าภายในไม่เข้มแข็งหรือไม่มีวิธีการ heal ใจตัวเอง อาจทำให้เกิดโรค เช่น ซึมเศร้าได้ เมื่อต่ายรู้อย่างนี้ ต่ายเองก็ไม่ได้อยากให้ต่ายกับลูก bonding กันถึงขั้น fusion ที่อีกคนจะแหลกสลายหากอีกคนหนึ่งหายไป

.

ต่ายมีความเห็นว่า ‘เราทุกค้นล้วนรับผิดชอบตัวเอง’ ต่ายต้องเลี้ยงลูกให้เค้าสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ เราต้องไม่เอาความรักมาเป็นเงื่อนไข เพราะเรารักเค้าแบบ unconditional love.

.

พ่อแม่ทุกคนก็คงไม่อยากเห็นลูกลำบาก แต่เราก็ต้องไม่ปกป้องลูกมากเกินไป จนไปขโมยโอกาสที่เค้าจะได้รู้จักความผิดหวัง ความเจ็บปวด เพื่อที่เค้าจะได้เรียนรู้การ cope ด้วยตัวของเค้าเอง หากเค้าเจอเหตุการณ์ผิดหวังที่ใหญ่กว่า เค้าก็จะมีภูมิต้านทานแล้ว

.

ถ้าหากเราเห็นลูกไม่อ่านหนังสือ เราเตือนแล้ว แล้วลูกเสียใจที่ได้คะแนนไม่ดี เราก็ปลอบค่ะ ไม่ต้องโทษตัวเอง เราได้ทำในส่วนที่เราทำได้แล้ว สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

.

และต่ายเองก็จะไม่เอาชีวิตไปผูกกับใครค่ะ ความสัมพันธ์ที่ healthy คือ คน 2 คนซึ่งสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองมาอยู่ร่วมกันเพื่อส่งเสริมสนับสนุนกัน ถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มทิ้งตัว อีกฝ่ายก็จะกลายเป็น the แบก ค่ะ

.

เราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความมรณานุไม่ประมาท พิจารณามรณานุสติ ไม่ว่าใครจะจากเราไป เราเสียใจได้ แต่เราก็จะรับผิดชอบชีวิตเราแล้วอยู่ต่อไปได้ค่ะ

Writer's picture: CoachTai MusicparentCoachTai Musicparent



เราเคยได้รับความช่วยเหลือจากใครบ้างคะ เราอาจจะรู้สึกอยากตอบแทนหรือไม่ก็เป็นความรู้สึกที่ไม่มีถูกหรือผิดของเรานะคะ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเค้าทำตามหน้าที่ หรือเราได้รับบริการเราก็รู้สึกว่าเราจ่ายเงินค่าบริการไปแล้ว แต่เราก็คงเคยมีประสบการณ์ที่มีคนช่วยเราโดยที่เค้าไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้หวังผลตอบแทน

.

สำหรับต่ายก็มีทั้งเคยช่วยคนอื่นและเคยได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เวลาที่ช่วยผู้อื่น บางทีก็ไม่รู้ตัวว่าช่วยแล้ว หรือไม่ได้รู้สึกว่าการช่วยของเรามันมากมายอะไร แต่บางครั้งคนรับก็รู้สึกซาบซึ้งกับมันมาก หรือถ้าต่ายเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ ต่ายก็ซาบซึ้งใจอยากตอบแทน แต่บางครั้งก็ไม่มีโอกาสได้ตอบแทน

.

Concept ของ pay it forward สำหรับต่ายคือเวลาเราได้รับสิ่งดี ๆ ในชีวิต เราก็ส่งต่อสิ่งดี ๆ นี้ให้คนอื่น โดยเฉพาะเวลาที่ต่ายได้รับมาแล้วไม่สามารถตอบแทนได้ สิ่งที่ทำได้คือการส่งต่อไปให้คนอื่น การทำแบบนี้จะทำให้ไม่รู้สึกติดค้างว่าเรายังไม่ได้ตอบแทนผุ้ที่ให้หรือช่วยเหลือเรา หลาย ๆ ครั้งคนที่ช่วยเราก็ไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่การส่งต่อให้ผู้อื่น ก็สามารถเกิด ripple effect ช่วยส่งต่อความดีในวงกว้างขึ้นได้


bottom of page