top of page
  • เพจของโค้ชแม่ต่ายค่ะ
  • 9e582e788b549c8bc310958d8222048f_icon



งานจิตอาสานี้ได้รับการบอกบุญจากอาจารย์ของต่าย งานนี้ต่ายตั้งใจเลยว่าจะชวนลูกไปเป็นผู้ช่วยสอนด้วย ตอนที่ยังทำงาน office การไปเที่ยวที่ทำงานแม่ก็คือการไป office แม่ แต่ตอนนี้จะไปเที่ยวที่ทำงานแม่ก็ต้องไปช่วยแม่สอนนี่แหละ สำหรับจุดประสงค์หลัก คือ ให้ลูกไปทำงานจริง ๆ งานนี้เริ่มตั้งแต่ประชุมเตรียมงานกันในห้องนอน เราจะสอนอะไร รูปแบบไหน

.

สรุปรูปแบบว่าเราจะเรียนเรื่องประสาทสัมผัสก็ให้ลองใช้ประสาทสัมผัสจริง ๆ จะมีการ ดู ฟัง ดม สัมผัส (ไม่ได้มีให้ชิมเพราะเป็นการไปสอนตอนบ่าย) จำนวนเณรมี 24 รูป ชีพราหมณ์ 3 คน อายุ 7-12 ปี เราต้องออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับทุกคน

.

เราจึงตั้งใจว่าจะทำกิจการเป็น 4 ฐาน แบ่งเณรและชีเป็น 4 กลุ่ม สลับกันเข้าแต่ละฐาน

.

ฐานดู มีลูกสาวประจำฐาน มีรูปเป็ด (ไซดั๊ก) หลายสิบตัวให้ช่วยกันนับว่ามีกี่ฐาน เป็ดที่โดนแขวนก็ถูกนับไปด้วย

.

ฐานฟัง ต่าย เปิด clip เสียงให้ฟังว่าเป็นเสียงอะไร ทางทีมงานช่วยกันเฟ้นหาเสียง ตุ๊กแก ฟ้าร้อง เสียงน้ำหยด แก้วแตก และ เสียงตีเหล็ก เสียงที่เป็นประเด็นก็จะเป็น แก้วแตก ว่าเป็น จานแตก หรือกระจกแตกหรือเปล่า

.

ฐานดม คุณพ่อ หาแก้วกระดาษปิดด้วยถ้วยกระดาษสำหรับทำเค้กแล้วเจาะรูใส่ ยาดม น้ำอบ ใบเตย ขิง มะกรูด ให้เด็ก ๆ ทดลองดม สิ่งที่ amazing คือเด็กบางคนสามารถบอกยี่ห้อยาดมได้ด้วย กลิ่นที่อาจจะสับสนคือน้ำอบบางคนบอกว่าเป็นแป้ง

.

ฐานสัมผัส ลูกชาย เตรียม mystery box DIY ทำจากกล่องนมวัวแดง ใส่ แปรงสีฟัน ลูกปิงปอง ผ้าขนหนู ถุงเท้า สก๊อตเทป อาร์ตบอกอันที่จับลงไปแล้วตกใจกันคือแปรงสีฟัน

.

นอกจากกิจกรรมหลักแล้ว เราก็มีการ design ice breaking ให้ได้เริ่มเคลื่อนไหว จับคู่สลับกันไปเพื่อสลับกันพูดชื่อสิ่งของตามโจทย์

.

จากนั้นดึงความสนใจด้วยการเปิดการ์ตูนและให้สังเกตการว่าเห็นการใช้ประสาทสัมผัสใดบ้าง.

.

และเพื่อดึงความสนใจตลอดกิจกรรมต่ายใช้ gamification ทุกครั้งที่ตอบคำถามหรือถามคำถามจะได้ sticker และเมื่อจบทุกกิจกรรมจะนับ sticker เพื่อแจกรางวัล

.

สรุปกิจกรรมการเรียนรู้ของบ้านเรา แม่ AAR (after action review) ด้วยการถามว่าวันนี้ใครชอบและไม่ชอบอะไร และถามต่อว่าถ้าจะมาจัดอีกคราวหน้าเราจะ start stop continue อะไร

.

เณรและชีได้ learning by doing ได้สนุก ได้รางวัล ส่วนลูกแม่ได้ experience การทำงานจริงตั้งแต่ประชุมเตรียมงาน, deliver และ AAR





ต่ายเป็น HR ในองค์กรใหญ่มากว่า 20 ปี มี passion ในการพัฒนาคน จากประสบการณ์การทำงาน ต่ายได้พบกับผู้คนหลากหลาย และได้พบว่าคนที่เข้าใจตัวเองจะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เพราะเค้าสามารถหาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับเข้าได้ และคนเหล่านี้มักจะมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน การออกแบบแผนการพัฒนาให้เค้าจึงถูกจัดทำอย่างมีทิศทาง

.

เมื่อต่ายมีลูก ต่ายก็อยากเห็นลูกพัฒนาและเติบโต ต่ายหาเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าใจเค้าและช่วยให้เค้าเข้าใจตัวเอง ด้วยการทำงานในสายการพัฒนาคน ต่ายได้ใช้เครื่องมือ assessment หลายตัวทั้ง assess personality, competency, traits ต่ายมองหาเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับเด็กเพราะอยากจะเข้าใจลูก

.

ต่ายรู้จัก CliftonStrengths (ชื่อเดิม Strength Finder) มาเกือบ 20 ปีแล้ว ตอนทำงานที่แรกทางบริษัทก็ซื้อหนังสือ Now, Discover your strengths แจก และได้ทำ strength assessment ครั้งแรก จนมาถึงตอนที่เรียนโค้ชและเป็นโค้ชเต็มตัวก็ได้กลับมามองหาเครื่องมือช่วยให้โค้ชชีเข้าใจตัวเอง และพบว่า Strength Explorer เป็นเครื่องมือค้นหาจุดแข็งที่เหมาะกับเด็กตั้งแต่ 10 ขวบขึ้นไป (Strength Explorer เป็น CliftonStrengths version ที่ simplify แล้วจาก 34 ตัวเหลือ 10 ตัว) ต่ายจึงตัดสินใจที่จะศึกษาเครื่องมือนี้ในเชิงลึก

.

เมื่อได้นำเครื่องมือนี้มาใช้กับลูกพบว่าทำให้เราเข้าใจเค้าได้มากขึ้น ก่อนที่ลูกจะทำ assessment ต่ายสงสัยมาตลอดว่าทำไปลูกต้องเสียใจมากมาย ตอนที่เล่น board game ในบ้านแล้วแพ้ ผลจาก Strength Explorer เค้ามี competition อยู่ใน top 3 ทำให้ต่ายเข้าใจแล้วว่าผลการแข่งขันใด ๆ สำหรับเค้ามันสำคัญ และการรู้สิ่งนี้ก็ช่วยให้ต่ายเองปรับแนวทางในการเลี้ยงลูก เน้น gamification ในการกระตุ้นในเค้าทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์

.

จากการที่ได้ใช้เครื่องมือนี้กับลูก ต่ายเองก็อินกับเรื่องนี้มากหลังจากที่ได้อ่านหนังสือ Strengths Based Parenting: Developing Your Children's Innate Talents ต่ายยังได้ช่วยพ่อแม่อีกหลายคนเข้าลูก คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ตามเพจเลี้ยงลูกของต่าย (FB: เลี้ยงลูกเล่นดนตรี) ก็ได้เข้าใจลูกมากขึ้นและมีแนวทางไปปรับการเลี้ยงลูก

.

ไม่เพียงแต่เครื่องมือนี้จะช่วยให้เข้าใจลูก เครื่องมือนี้ยังเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย ถ้าครอบครัวไหนได้ทำ CliftonStrengths assessment กันทั้งบ้าน คนในบ้านก็จะเข้าใจตัวเองและเข้าใจคนในครอบครัวมากขึ้น มีตัวอย่างครอบครัวหนึ่งที่คุณพ่อมี strategy อยู่ใน top 5 และ คุณแม่มี deliberative อยู่ใน top 5 ก่อนจะทราบผล strength ทั้งสองคนก็จะหงุดหงิดกันละกันว่าทำไมคุณพ่อต้องทำอะไรรวดเร็ว ในขณะที่คุณแม่ก็จะตัดสินใจช้าเหลือเกิน เมื่อได้ทราบผล strength แล้วจึงเข้าใจกัน และแบ่งหน้าที่ในการตัดสินใจในบ้าน ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องการความฉับไวในการตัดสินใจ คุณพ่อจะเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ คุณแม่จะเป็นคนตัดสินใจ

.

สำหรับต่าย CliftonStrenght เป็นเครื่องมือช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และช่วยให้วางแผนการพัฒนาตัวเราได้อย่างมีทิศทางค่ะ

 

โค้ชต่าย กชกร สกุลอิสริยาภรณ์, PCC





ในกระแสสังคมปัจจุบันที่การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ เราเห็นเด็ก ๆ แข่งขันประกวดความสามารถกันมากมาย ทั้ง ดนตรี กีฬา ศิลปะ และวิชาการ

.

ต่ายเห็นพ่อแม่โพสต์บน social ชื่นชมความสำเร็จจากการแข่งขันของลูก โรงเรียนกรให้การสนับสนุนโพสต์ความสำเร็จของนักเรียน รวมทั้งรางวัลทั้งหลายเหล่านี้เด็ก ๆ สามารถเก็บเป็นพอร์ต (portfolio) เพื่อช่วยให้เข้าเรียนต่อได้

.

แล้วทำไมต่ายถึงตั้งคำถามนี้ การศึกษาเลี้ยงดูเด็ก ๆ ที่ไม่ใช่แนวทางหลักอย่างเช่น มนุษยปรัชญา (anthropology) และ Waldorf ก็มาในแนวทางที่ไม่สนับสนุนให้เด็กแข่งขัน ไม่ให้เปรียบเทียบลูกกับคนอื่น ให้เค้าเรียนรู้และเติบโตไปตาม pace ของเค้า เพราะอะไร?

.

สมองคนเราวิวัฒนาการมาจากเมื่อยุคหิน มี 2 mode คือ โหมดปกติ กับ โหมดปกป้อง ในยามปกติสมองอยู่ในโหมดปกติ เราจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้เต็มที่ ร่างกายมีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ถ้าสมองรับรู้ว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตราย สมองจะอยู่ในโหมดปกป้อง ร่างกายจะหยุดทำกิจกรรมปกติ ใช้พลังงานมาเพื่อป้องกันตัวเอง ช่วงนี้การเรียนรู้การเติบโตจะหยุด การซ่อมแซมจะหยุดลง

.

การแข่งขันก็ทำให้สมองอยู่ในโหมดปกป้อง สำหรับการถูกเปรียบเทียบก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความรุนแรงในบ้าง (ทั้ง physical และ mental violence) การดุ ตำหนิ ลูก ก็ทำให้สมองอยู่ในโหมดปกป้อง ร่างกายหยุดเติบโต ถ้าเด็ก ๆ อยู่ในภาวะนี้บ่อย ๆ ก็จะเติบโตช้า

.

ต่ายเองก็เลี้ยงลูกตามกระแสหลัก ส่งลูกแข่งขัน โรงเรียนมัธยมที่ลูกเข้าเรียน ถ้าเด็ก ๆ มีพอร์ตการแข่งขันระดับประเทศมาตั้งแต่ประถม จะสามารถขอทุนลดค่าเรียนได้ และต่ายเองก็เติบโตมาในสังคมของการแข่งขัน รวมทั้งตอนเด็ก ๆ คุณพ่อของต่ายก็ดุมาก

.

พ่อแม่หลายคนที่เลี้ยงลูกในแนวทางเลือก จึงส่งลูกเข้าโรงเรียนทางเลือกหรือทำ homeschool เอง

.

แล้วคุณพ่อคุณแม่มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้คะ

.

บทความนี้ inspire มาจากการอ่านหนังสือของ อ.เรือรบเล่มนี้เลยค่ะ “สิบวันเปลี่ยนชีวิต” ค่อย ๆ ละเมียดอ่านแล้วก็ reflect & internalize ไปค่ะ

bottom of page